Header Image
“เคยนิคะ” ซอส นวัตกรรมกะปิไทยนอกกระปุก ขอบุกทุกครัวทั่วโลก

“เคยนิคะ” ซอส นวัตกรรมกะปิไทยนอกกระปุก ขอบุกทุกครัวทั่วโลก


          ข้อดีของการเป็นทายาทที่ครอบครัวสร้างธุรกิจไว้ให้แล้ว คือคุณไม่จำเป็นต้องออกไปวิ่งหาความสำเร็จจากนอกบ้าน คุณจะมีทางลัดให้คุณได้เติบโตเร็วกว่าเพื่อนๆ โดยที่คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ความเสี่ยงของมันก็คือถ้าคุณไม่คิดจะพัฒนาและย่ำอยู่กับที่แบบนั้น สักวันคุณจะโดนคู่แข่งหน้าใหม่ๆ วิ่งแซงไปเรื่อยๆ จนคุณอาจวิ่งตามไปไม่ทัน หลายครั้งเรามักเห็นว่า ทายาทรุ่นใหม่ๆ ปฏิเสธการทำงานที่บ้าน ปฏิเสธการสืบต่อกิจการครอบครัว ไม่ว่าจะเพราะอะไร แต่นั่นไม่ใช่กับ คุณสุขศิริ ฤทธิเดช

กะปิ “เด็กนอก” ต้องไม่ธรรมดา

          คุณสุขศิริ ฤทธิเดช ผู้จัดการฝ่ายขาย ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยนิคะ เจ้าของผลิตภัณฑ์ซอสกะปิบรรจุขวด แบรนด์ “เคยนิคะ” สาวนักเรียนนอกที่ออกไปศึกษาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในประเทศอังกฤษนานถึง 7 ปี ขอกลับบ้านเกิดเพื่อกลับมาดูธุรกิจของครอบครัว คุณสุขศิริ เล่าว่า ครอบครัวของเธอเป็นคนจังหวัดพัทลุง ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย “กะปิแม่ยินดี”  ซึ่งเป็นแบรนด์ที่คนให้การยอมรับ โดยจุดเริ่มต้นของ “กะปิแม่ยินดี” เริ่มมาจากที่คุณยายเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในจังหวัดพัทลุงมาก่อน ซึ่งท่านมีความคุ้นเคยกับกะปิเป็นอย่างดี กระทั่งต่อมาคุณแม่ได้ช่วยกันผลิตกะปิ “กะปิขัดน้ำ” สูตรคุณยาย ซึ่งเป็นกรรมวิธีใส่กะละมังตักขายในตลาด ประสบความสำเร็จจนถึงขึ้นมีโรงงานผลิตแบรนด์กะปิของตัวเอง

          ด้วยความมั่นใจในรสชาติกะปิของคุณยาย คุณสุขศิริ มั่นใจว่ากะปิของพวกเขาต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอจึงตัดสินใจกลับมาพัฒนากะปิของตัวเอง แน่นอนว่าตลาดที่เด็กนอกอย่าง คุณสุขศิริ มองไว้คือ การเข้าไปอยู่ในโมเดิร์นเทรดแต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เธอพบว่าการเอากะปิเข้าห้างสรรพสินค้าเต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดมากมาย เธอจึงต้องกลับมานั่งคิดใหม่ เปลี่ยนจากช่องทางจำหน่ายที่เคยวางไว้มาเป็นแนวคิดที่จะสร้างพฤติกรรมการกินหรือบรรทัดฐานใหม่ โดยเริ่มไปศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว พบ Pain Point มากมายที่ทำให้กะปิยังคงอยู่ในกระปุก

          “คนยุคเราไม่ค่อยกินกะปิกันแล้ว เพราะมันทำยาก ใช้ยาก แถมกลิ่นก็เหม็น เราจึงมาคิดว่า จะทำยังไงให้คนกลุ่มนี้หันกลับมาใช้กะปิกันมากขึ้น มันก็ต้องสะดวก ต้องใช้ง่าย เคยลองทำแบบเป็นผงเป็นก้อนมาแล้วแต่ก็ไม่เวิร์ค จนสุดท้ายมาจบที่ทำเป็นซอส ซึ่งเราโชคดีมากที่เรามีเพื่อน มีทีมงานที่ดีที่คอยให้คำแนะนำตลอด” การตีโจทย์ด้านการใช้งานให้ง่ายขึ้นนี้ ทำให้ต้องเปลี่ยนรูปแบบกะปิที่อยู่ในกระปุกเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน คุณสุขศิริ จึงใช้โรงงานผลิตกะปิเป็นสถานที่ในการค้นคว้าและวิจัยในร่วมกับศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

          จนในที่สุดกะปิแม่ยินดีก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นซอสกะปิ “เคยนิคะ” กลายเป็นนวัตกรรมซอสกะปิครั้งแรกในตลาด ซอสปรุงรส โดยนำกะปิซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของคนใต้มาผ่านกระบวนการการย่อยสลายโดยเอนไซม์ย่อยโปรตีนและไขมันจากกุ้งเคย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและจุลินทรีย์ในกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ ช่วยทำให้เกิดกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมคงเอกลักษณ์การเป็นกะปิไว้ ภายใต้อุณหภูมิและเวลาการหมักที่เหมาะสม เกิดปฏิกิริยาเมลลาร์ดที่ทำให้ซอสกะปิเคยนิคะมีสีสวยน่ารับประทาน และพร้อมใช้งานในรูปแบบซอสเหมือนกับซอสมะเขือเทศ และซอสพริก แก้ปัญหาการใช้งานกะปิในรูปแบบเก่าที่ใช้งานยุ่งยากและต้องมีขั้นตอนการเตรียมและการชั่งตวงที่ยุ่งยากไม่เหมาะกับในยุคสมัยปัจจุบัน และยังลดปัญหาการปนเปื้อนจากการผลิตกะปิในปัจจุบัน เหมาะกับการนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้กะปิเป็นตัวชูรสอาหารให้กลมกล่อมและทำให้ทานอาหารได้อร่อยขึ้น ซึ่งสามารถใช้เป็น Base Sauce หรือเครื่องปรุงรสพื้นฐานแทนการใช้หรือร่วมใช้กับซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม น้ำปลาร้า และน้ำปลาได้

          “ผลจากการวิจัยทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่แค่คนใต้ที่กินกะปิแต่คนทุกภาคก็กิน อย่างคนเหนือใส่กะปิในน้ำเงี้ยว คนอีสานอย่างปลาร้าแม่ละมุลเองก็ใส่กะปิ เพราะมันจะทำให้รสชาติอาหารกลมกล่อมขึ้น นั่นหมายความว่ากะปิ คือเครื่องชูรสอันโอชา ยิ่งเราเอามาทำเป็นซอสแล้วมันจะกลายมาเป็นเครื่องปรุงรสที่ทุกบ้านต้องมี” เนื่องจากซอสแบบนี้ไม่เคยมีในไทยมาก่อน เคยนิคะ จึงวางตำแหน่งซอสกะปิเป็น Base Sauce สามารถไปใช้กับซอสอื่นได้ ตีตลาดในซอสผัดโดยไม่แข่งกับใคร แต่ให้ซอสกะปิเคยนิคะไปช่วยทำให้อาหารอร่อยขึ้น

อุปสรรคคือแรงผลักดันที่ดีที่สุด

          ในช่วงเวลาที่เคยนิคะถือกำเนิดตรงกับช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 แบบพอดิบพอดี แม้จะดูเป็นสถานการณ์วิกฤตที่ทำให้ยังไม่สามารถเข้าโมเดิร์นเทรดและส่งออกได้ แต่ คุณสุขศิริ กลับมองในแง่ดีว่าถือเป็นโอกาสที่ทำให้แบรนด์ได้ทดลองตลาดก่อน ในครั้งนั้น เคยนิคะได้ไปเข้าร่วมโครงการ “รถโมบายล์ธงฟ้า”  ซึ่งปรากฏว่าเคยนิคะได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 5 แสนบาทต่อเดือน จนต้องขยายโรงงาน และล่าสุดได้เพิ่มเครื่องจักรเข้ามาใหม่ โดย คุณสุขศิริ ได้ตั้งชื่อเครื่องจักรเครื่องนี้ด้วยว่า “น้องทอย 100 ล้าน”

         “ตอนแรกเราไม่ได้สนใจตลาดประเทศไทยเลย เพราะตั้งใจจะใช้กลยุทธ์แบบป่าล้อมเมือง แต่พอโควิดมาเราพากะปิของเราออกไปนอกบ้านไม่ได้ เลยได้ไปร่วมกับโครงการรถโมบายล์ธงฟ้าผลตอบรับดีมาก ดีเกินคาด เราสามารถยึดหัวหาด ทะเลน้อยในบ้านเราได้แล้ว เราอยากบอกกับทุกคนว่าให้อดทน ทุกอุปสรรคมันจะมาพร้อมโอกาสเสมอ เราเชื่อแบบนี้ว่าเมื่อมันตกดิ่งลงไป บันไดมันยังมีทางขึ้น แล้วมันขึ้นแน่ๆ ช่วงโควิดตอนนี้ทุกต้องคนอดทน ในที่สุดมันจะกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ที่เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน อยากให้มองช่วงเวลาว่างๆ ตอนนี้เป็นช่วงที่เราได้พัฒนา อย่างเราเองเราก็กำลังสร้างอ่างเก็บน้ำ เพราะเราเชื่อว่า หลังจากนี้มันจะต้องมีน้ำที่ตกลงมา ถ้าตอนนี้คุณไม่อดทน หมดแพสชั่น เมื่อโอกาสมาคุณจะรับมันไว้ไม่ได้”

     คุณสุขศิริ ย้อนรอยให้เราฟังว่า ระหว่างทางเธอต้องพบเจอกับปัญหามามาก โดยเฉพาะปัญหาความไม่เข้าใจกันของครอบครัว ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจของเธออยู่ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกันครอบครัวก็เป็นเสมือนแรงผลักดันที่ทำให้เธอต้องสู้ต่อเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง

     “ต้องขอบคุณ NIA ที่เป็นเหมือนกาวใจให้ครอบครัว เพราะก่อนหน้านี้คุณแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ ทะเลาะกันจนขนาดที่ว่าไล่ออกจากบ้าน ไม่คุยกันเป็นเดือนๆ แต่เราก็ยังทำมันต่อไปโดยได้รับการสนับสนุนจาก NIA รวมถึงพี่ๆ เพื่อนๆ กระทั่งวันนึงคุณแม่เห็นว่าเราทำได้จริงๆ และเราประสบความสำเร็จ จากการทะเลาะกันวันนั้นก็กลายเป็นคุณแม่สนับสนุนเต็มที่ เลยได้มีโรงงานอีกโรงหนึ่งถึงจะไม่ได้ใหญ่โตแต่มันก็เป็นโรงงานของเราเอง”

ความภูมิใจของคนใต้และคนพัทลุง

      สำหรับชื่อแบรนด์ “เคยนิคะ” คุณสุขศิริ ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้ชื่อที่ทำให้คนจำง่าย จึงเลือกที่จะใช้ชื่ออื่นแทน “กะปิแม่ยินดี” ซึ่งเป็นแบรนด์เดิม แต่ในเวลาเดียวกันแบรนด์นั้นก็ต้องแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของภาคใต้ด้วยจึงนำ คำว่า “เคย” มาใช้ 

     “กะปิในภาษาใต้เราจะเรียกว่า เคย แล้วกะปิก็ทำมาจากตัวเคย (กุ้งเคย) เราเลยใช้คำว่า เคยนิคะ เพื่อบอกว่า นี่ค่ะกะปิ นี่คือกะปิอร่อย เป็น 3 คำ 3 พยางค์ ที่เข้าปากได้พอดี ฟังแล้วคนจำง่าย พร้อมการสื่อสารซอสกะปิเคยนิคะ ในฐานะผู้ช่วยที่ตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ ปรุงอาหารอร่อยเหมือนต้นตำรับมาทำให้กินภายใต้สโลแกน อร่อยครบช้อนเดียวจบกับ ซอส เคยนิคะ มีจุดเด่นคืออร่อย ใช้ง่าย ช้อนเดียวจบ ไม่จำเป็นต้องปรุงเพิ่ม เพราะใช้กะปิคัดอย่างดี ทุกขวดเข้มข้น หอมกลิ่นกะปิ” พร้อมกันนี้ คุณสุขศิริ บอกกับเราว่า หลังจากเคยนิคะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนพัทลุงเริ่มรับรู้แล้วว่านี่คือกะปิของคนบ้านเดียวกันก็มีหลายเสียงที่พูดถึงเคยนิคะว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนพัทลุง ซึ่งเป็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ที่เคยนิคะได้สร้าง ได้ให้ และได้รับไปพร้อมๆ กัน

“มีคุณป้าท่านหนึ่งโทรมาหา สั่งกะปิเราไปขายเป็นสิบๆ ลังเลย โดยที่เราก็ไม่เคยเจอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณป้าโทรมาชื่นชมและบอกกับเราว่า เราเป็นความภูมิใจของพวกเขาเลยนะ ให้เราสู้ต่อไป มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่เราได้มารู้ว่าของที่เราตั้งใจทำ มันสร้างคุณค่าให้กับทั้งเราและพวกเขาด้วย”

เครื่องเหม็นอันโอชาจะไปสู่สายตาชาวโลก

          เรียกได้ว่า ซอสกะปิเคยนิคะสามารถเพิ่มมูลค่าจากกะปิที่อยู่ในกระปุกได้อย่างมาก เป็นผู้เริ่มต้นและสร้างตลาดใหม่ให้กับกะปิ กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ทีมูลค่ามหาศาล ปัจจุบันซอสกะปิเคยนิคะขนาด 290 กรัม ราคาขวดละ 79 บาท มีจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างโฮมเฟรชมาร์ท ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และวิลล่า มาร์เก็ต ส่วนแผนต่อไปจะเป็นการส่งออกไปต่างประเทศทั้งในยุโรป และ CLMV ในเวลาเดียวกันยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาซอสกะปิสูตรใหม่ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือการนำอาหารใต้สู่อาหารโลก โดยใช้นวัตกรรมผสมผสานกับรากเหง้าของอาหารท้องถิ่น “เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ จากรากเหง้า สู่ Global กะปิจะต้องกลายเป็นเครื่องเหม็นอันโอชาที่จะไปสู่สายตา ชาวโลก เป็นตัวชูรสอาหารที่ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากกิน”

ที่มา : BrandAge Online Oct 13, 2021


Line QRCode

คะแนนโหวต :
ImageImageImageImageImage